วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อยากเที่ยวฮานอย ไปเลย ไม่ผิดหวังไม่น่ากลัวอย่างที่คิด



คิดวางแผนการเดินทางอยู่เป็นปีๆเลยที่เดียว ว่าจะไปหรือไม่ไปดี รู้สึกกลัวๆ เหมือนกัน กลัวเรื่องการโดนหลอก และแล้วก้อเลยตัดสินใจไป ตื่นเต้นไม่น้อยเลย พอถึงวันเดินทาง ก้าวแรกที่ถึงนอยไบ (สนามบินที่ฮานอย

เราเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองฮานอยโดยแท็กซี่ (ก่อนตกลงขึ้นรถพี่แท็กซี่ก็มีการสอบถามราคากันก่อนค่ะ พี่แท็กซี่คิด 15$)

พี่แท็กซี่ใจดีมากค่ะ พาเราลัดเลาะหาห้องพักจนเราพอใจ ในใจก็ลุ้นเหมือนกันนะคะว่าจะโดนตั้งกะวันแรกเลยรึป่าว 

พอได้โรงแรมที่เราพอใจ ก็หันไปถามค่าเสียหายกะพี่แท็กซี่ แกรับแค่ 15$ ไม่คิดเพิ่ม แถมรอให้เราเข้าที่พักให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกรถ

แกบอกว่าเผื่อเราไม่พอใจ จะได้พาไปหาที่อื่นต่อ .... ใจดีมากกกกกกกกกกกก 

โรงแรมที่เราเข้าพักครั้งแรก (ชื่อโรงแรม Green Tree Hotel) กะว่าจะพักแค่ 1 คืน

เพราะกะว่าจะเดินๆๆหาไปเรื่อยๆ แต่ไปๆ มาๆ พักที่เดียวตลอด 5 วันเลยค่ะเพราะที่นี่เจ้าของโรงแรมใจดี แนะนำดีมาก 

พนักงานทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใจ ให้ข้อมูลต่างๆ เป็นอย่างดี ........

ร้านอาหารที่อยากแนะนำเพื่อนๆ ที่ไปจะไปฮานอยแล้วต้องไม่พลาดนะคะ 
- ร้านQuan an ngon (ร้านควานแอง-งอน) ... อาหารอร่อย บรรยากาศดี ราคาไม่แพงค่ะ 
- ส่วนอีกร้าน ร้านSen Restaurant ร้านนี้หายากส์หน่อยค่ะ แต่รับรองว่าไม่ผิดหวังคะ เป็นร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ 

เพื่อนๆ ที่ไปฮานอย หาๆๆ ข้อมูลไว้เยอะๆ ยิ่งเยอะยิ่งดีค่ะมันจะได้เป็นไกด์ให้เราได้เมื่อเราไปถึงฮานอย 
แต่ข้อมูลและแผนการเดินทางที่เราหาๆ ไว้ เราไมได้ไปตามที่วางแผนไว้เลย แต่มันดีตรงที่ เรารู้ว่าเราต้องการไปไหนบ้าง
แผนที่ หาได้ในสนามบินฟรีค่ะ หรือถ้าลืมก็เดินๆๆ ดูที่รอบๆ ทะเลสาปคืนดาบ จะมี Free information 
เค้าจะมีนามบัตรที่พักต่างๆให้เรา และแผนที่ให้เราฟรี ... มีเน็ตให้เล่นฟรีด้วยนะคะ .... 

ขอให้เพื่อนๆ ที่กำลังวางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวฮานอย กลับมาด้วยความประทับใจกันทุกๆ คนนะคะ
สำหรับเราแล้ว ยังอยากไปอีกค่ะ ประทับใจค่ะ อากาศก็ดีด้วย ....ไว้ปีหน้า ถ้ามีกะตังค์ก็คงไปอีกค่ะ ....

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (History Museum) ของฮานอย

ตั้งอยู่หลังโรงละครฮานอย ค่าเข้าชม 15,000 ดอง สำหรับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือชาวเวียตนามเรียก Bao Tang Lich แห่งนี้เป็นอดีตเป็นสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ (Ecole Hrancaise d’Extreme Orient) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2453 สร้างใหม่ปี 2469 ก่อนจะเปิดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งสิ่งที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่ครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์เวียตนามทุกสมัย เป็นโบราณวัตถุที่หาดูได้ยากยิ่ง มีกลองสำริดโบราณ ซึ่งเป็นศิลปะอันงดงามของพวกจากที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยชาม และเจ้าแม่กวนอิมปางประหลาด รวมถึงห้องจัดแสดงของใช้สิ่งของต่างๆ ของกษัตริย์ 13 พระองค์แห่งราชวงศ์เหวียน หากชอบเกี่ยวกับโบราณคดีคุณจะได้สัมผัสรากฐานแห่งอารยธรรมได้ดีทีเดียว

การเชิดหุ่นกระบอกน้ำ(Water puppet show) ของ ฮานอย

โรงละครตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม บนถนนดิงห์เตียมฮว่าง (Pho Dinh Tien Hong) ค่าเข้าชมละครหุ่นกระบอกน้ำ 20,000 และ 40,000 ดอง เปิดการแสดงวันละหลายรอบ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำของเวียดนาม ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติทีเดียวและกำลังจะสูญหายไปจากโลก การแสดงหุ่นกระบอกน้ำเริ่มต้นบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง จากการที่บริเวณนี้มีน้ำท่วมทุกปีจึงให้เกิดแรงบันดาลใจให้คิดค้นการละเล่น เพื่อสร้างความบันเทิงระหว่างที่น้ำท่วมเป็นเวลานาน สำหรับนักแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ผู้แสดงจะอยู่หลังฉากซึ่งมีระดับน้ำสูงถึงเอว เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นโดยใช้ไม้ไผ่ลำยาว แต่เทคนิคการเชิดจะได้รับการรักษาไว้เป็นความลับ เรื่องราวก็เกี่ยวกับวีถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อของชาวเวียตนาม ชวนให้ติดตามมากถ้าได้ไป ฮานอย แล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปชม

วัดเนินหยก( หง็อกเซิน, Ngoc Son temple) วัดน่าไปใน ฮานอย

วัดหง็อกเซิน ของฮานอย คือ วัดซึ่งตั้งอยู่ทางเนินหยกอยู่ทางด้านเหนือของทะเลสาบ อยู่ริมทะเลสาบบนเกาะหยก ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ สามารถข้ามจากฝั่งไปยังวัดโดยข้ามสะพานเทฮุก (The Huc) หรือสะพานแสงอาทิตย์ มีสีแดงสดใสถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงฮานอย นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว ฮานอย นิยมมาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันเสอมเมื่อถึงวัดหว็อกเซิน ด้านในมีบรรยากาศร่มรื่นและมีศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่เฉิน ฮัง โด๋ว ผู้นำการต่อต้าน ราชวงศ์หยวนเมื่อ ศตวรรษที่ 13 และ ได้รับการซ่อมแซมในปี พ.ศ.1864 โดย ปราชญ์ลัทธิขงจื้อ ชื่อ หวัน เซิง และ เหงียน หวัน ซุย โดย เชื่อมกับฝั่งด้วยสะพานเทฮุก สะพานไม้สีแดง ที่มีความหมายอันไพเราะว่า สะพานแสงอาทิตย์ยามเช้า

ทะเลสาบคืนดาบ(ฮว่านเกี๋ยม, Hoan Kiem Lake) ทะเลสาบที่สวยงามของ ฮานอย

ทะเลสาบคืนดาบหรือชื่อเวียดนามว่า"ฮว่านเกี๋ยม"ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง เก่าฮานอย มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต (Le Thai To) ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่าทะเลสาบคืนดาบหากมองไปกลางทะเลสาบจะ เห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว(Thap Rua)ซึ่งหมายถึงหอคอยเต่าและในปัจจุบันยังมีหลายคนบอกว่าเห็นเต่าขนาดใหญ่ อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล นักท่องเที่ยวที่ไปที่ ฮานอย ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปชมความสวยงามและบรรยาศ ความเป็น ฮานอย ที่นี่

วิหารวรรณกรรม (วันเหมียว,Literature temple) แห่ง ฮานอย

วิหาร วรรณกรรม หรือ ชื่อเวียดนามว่า‘วันเหมียว’ เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งของเวียดนามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของฮานอย ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบพันปี และถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม เช่นเดียวกับที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ ‘วัดโพธิ์’ ในบ้านเรา ได้ชื่อว่า เป็นมหาวิทยาลัยแห่ง แรกของประเทศไทย ‘วันเหมียว’ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า ‘วิหารวรรณกรรม’ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1070 ซึ่งเป็นยุคของ ราชวงศ์ไล โดยพระเจ้าไล ไท ตอง โปรดฯให้สร้างขึ้น เพื่อเชิดชูคุณธรรม โดยอุทิศให้แก่ขงจื๊อ ปราชญ์ชาวจีน ผู้ยึดมั่นในคุณธรรมความถูกต้อง ต่อมาในปี 1076 ได้มีการสร้างโรงเรียนสำหรับขุนนางขึ้นในบริเวณเดียวกันกับวัด เพื่อให้เหล่าขุนนางได้เข้าศึกษาเล่าเรียนและสอบเป็นจอหงวน เมื่อถึงยุคสมัยของราชวงศ์ตรัน จึงได้เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าเรียน วิชาที่สอนนั้นเป็นวิชาปรัชญาของขงจื๊อ ประกอบไปด้วยเรื่องการประพฤติปฏิบัติตน วิชาประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เป็นต้น มหาวิทยาลัย แห่งแรกของเวียดนามนี้ ได้เปิดสอนจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ก็ได้ปิดตัวลง และถูกทิ้งให้รกร้าง เมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดเวียดนามเป็นเมืองขึ้น ปัจจุบันวิหารวรรณกรรมแห่งนี้กลายเป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ ทางการ ศึกษาของเวียดนาม และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของฮานอย แม้เวลาผ่านไปร่วมพันปี แต่วิหารวรรณกรรมแห่งนี้ ยังได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้คงความเป็นตัวอย่างวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาว เวียดนามได้เป็นอย่างดี ภายในบริเวณวัดมีพื้นที่กว้างขวาง โดยมีกำแพงล้อมรอบถึง 5 แห่ง และก่อนจะเข้าสู่ประตูใหญ่ของวิหาร เหนือขึ้นไปของประตูมีข้อความที่ขอร้องให้ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าก่อนที่จะ เข้าไปในบริเวณวัดหลังจากผ่านเข้าประตูทางเข้าวัดแล้ว เป็นที่ตั้งของ ‘เคว วัน กั๊ก’ หรือตึกดาวลูกไก่ ซึ่งเป็นแหล่งที่เหล่านักอักษรศาสตร์ใช้ท่องบทกวี เมื่อผ่านประตูแห่งความ สำเร็จ หรือ ‘ได๋ แถงห์ โมน’ ก็จะพบกับลานโล่งล้อมรอบสระน้ำใหญ่ที่มีชื่อว่า สระแสงงาม หรือ ‘เทียน กวาง ติงห์’ ซึ่งลานบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของแผ่นจารึกชื่อของ จอหงวน ที่ผ่านการสอบหลักสูตร 3 ปี ซึ่งแต่ละแผ่นตั้งอยู่บนหินรูปเต่า ที่มีจำนวนถึง 82 แผ่น จากที่เคยมีอยู่เดิมถึง 117 แผ่น โดยเริ่มมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1442-1779 ด้านตรงข้ามกับวิหารมีอาคารแห่งการเฉลิมฉลอง หรือ ‘ไบ๋ เยือง’ ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยให้แก่ขงจื้อ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่กษัตริย์ได้ทรงมอบน้ำพระพิพัฒน์สัตยาให้กับอาจารย์ ผู้สอนในอดีต ซึ่งบริเวณนี้มีแผ่นไม้ที่สลักไว้ด้านบนแท่นบูชาว่า ‘อาจารย์ของนักเรียนกว่าพันรุ่น’ นอกจากนี้ ภายในวิหารวรรณกรรมแห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรม รวบรวมผลงานด้านศิลปกรรม ทั้งงาน ปั้น งานแกะสลัก และรูปภาพ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ถ้าหากมีโอกาสไปเที่ยวฮานอย วิหารวรรณกรรม ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด

สุสานโฮจิมินห์ แห่งเมือง ฮานอย (Ho Chi Minh’ s Mausoleum)

ตั้งอยู่บนถนนเดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu) บริเวณจัตุรัสบาสดิงห์ (Ba Dinh) ของเมืองฮานอย สุสานแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 เสร็จในปี พ.ศ. 2518 เป็นอาคารหินอ่อนและหินแกรนิตรวมถึงไม้เนื้อดีจากทั่วประเทศ เป็นอาคารที่โดดเด่นและสง่างามมาก โดยมีชื่อในภาษาเวียตนามว่า จู่ติกโอจิมินห์ (Lang Chu Tich Ho chi Minh ) ด้านในจะพบกับศพโฮจิมินห์ ซึ่งอาบน้ำยาอยู่ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้คนที่เข้ามาชมได้รู้จักผู้นำที่มีความ แข็งแกร่ง ทั้งที่นี่เป็นการกระทำซึ่งขัดต่อความต้องการของโฮจิมินห์ เพราะท่านต้องการให้เผาร่างเมื่อตายลง สำหรับห้องนี้ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูป วีดีโอ โทรศัพท์ หรือกระเป๋าทุกชนิดเข้าไปโดยเด็ดขาด